มิตรแท้ประกันภัยเดินหน้า แลกหมัดแบงก์แอสชัวรันส์

 
เก็บตัวเงียบมานานหลายปี เพิ่งโผล่มาแถลงข่าวยืนยันความมั่นคงทางการเงินของบริษัทเมื่อเร็วๆนี้ หลังตกเป็นข่าวด้านลบทางสื่อโซเชียลเน็ทเวิร์ค และล่าสุด นายสุขเทพ จันทร์ศรีชวาล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทมิตรแท้ประกันภัย จัดแถลงข่าวตอกย้ำความมั่นคงแข็งแกร่งของบริษัทอีกครั้ง ควบคู่กับผลประกอบการภาพรวมของบริษัท ซึ่งยังต้องฝ่ากระแสการแข่งขันเดือดในสมรภูมิธุรกิจประกันวินาศภัยที่มีแต่ความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย มิตรแท้ฯ ในฐานะบริษัทขนาดกลางจะยืนฝ่านแนวต้านได้อย่างไร เบื้องล่างนี้คือคำยืนยันของ “สุขเทพ” ในฐานะหนึ่งในผู้คร่ำหวอดและเจนจัดเวทีรบประกันภัยมากว่า 30 ปี
เขากล่าวถึงผลประกอบการในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ที่ผ่านมาว่ามีเบี้ยประกันรับรวม 2,329 ล้านบาท คิดเป็นการหดตัว 5.41%แบ่งเป็นเบี้ยรถยนต์ 2,255 ล้านบาท (เบี้ยภาคสมัครใจ 1,858 ล้านบาท เบี้ยภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ.396 ล้านบาท) และเบี้ยที่ไม่ใช่รถยนต์ 74 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนทางการตลาดประเภทรถยนต์ของบริษัทในปีนี้ อยู่อันดับ 12 คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 2.32%แบ่งเป็นรถยนต์ภาคบังคับ มีส่วนแบ่งการตลาด 3.1%อยู่อันดับ 7 ส่วนรถยนต์ภาคสมัครใจอยู่อันดับ 11 มีส่วนแบ่งการตลาด 2.2%ถ้ารวมทุกประเภทของการประกันภัย (ข้อมูล ณ เดือน ส.ค.2557) บริษัทอยู่ในอันดับ 21 ของระบบ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 1.41%
ช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรจากการรับประกันภัยหลังการคำนวณสำรองค่าสินไหมโดยวิธีทางคณิตศาสตร์ประกันภัยแล้วประมาณ 329.38 ล้านบาท แต่เมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและรายได้จากการลงทุนแล้ว คิดเป็นกำไรก่อนหักภาษีเงินได้อยู่ที่ 238.86 ล้านบาท
ด้านการลงทุนสิ้นสุดไตรมาส 3 หรือ 9 เดือนแรกปีนี้ มีพอร์ตรวม 2,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในตราสารหนี้ ได้แก่ เงินฝากธนาคาร ตั๋วสัญญาใช้เงินและหุ้นกู้ที่ต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือไม่น้อยกว่า A- คิดเป็นสัดส่วนลงทุนประมาณ 1,600 ล้านบาท หรือ 80%ของพอร์ต นอกนั้นเป็นเงินลงทุนในตราสารทุน ได้แก่ หลักทรัพย์ กองทุนรวมประมาณ 290 ล้านบาท คิดเป็น 14.5%ของพอร์ต นอกนั้นเป็นการให้กู้ยืมอีกประมาณ 5.5%ของพอร์ต โดยทั้งหมดนี้ สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน 64.2 ล้านบาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5.07%
ปัจจุบัน บริษัทมีทุนจดทะเบียน 1,618 ล้านบาท เรียกชำระแล้ว 1,518 ล้านบาท มีอัตราส่วนสภาพคล่อง 314.73%และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย หรือตามเกณฑ์ RBC ที่ 293.67%ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ คปภ.กำหนดขั้นต่ำที่ 140%
อย่างไรก็ดี แม้เป็นผลประกอบการกำไรในรอบ 2 ปี แต่โดยรวมสถานะของบริษัทยังมีผลขาดทุนสะสมในอดีตอยู่ และที่สำคัญ พบว่าปีนี้เป้าหมายด้านเบี้ยประกันภัยของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้เมื่อต้นปี จากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศที่ชะลอตัว ไม่มีแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจใหม่ๆออกมาจากภาครัฐ ผลพวงจากปัญหาการเมืองในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งมิตรแท้ประกันภัยมีโครงสร้างงานที่ต้องพึ่งพาตลาดประกันภัยรถยนต์ประเภท 2, 2+, 3 และ 3+ ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก โดยไม่ได้เน้นการประกันภัยรถประเภท 1 มากนัก
ขณะที่โครงการรถคันแรกซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อเนื่องให้กับบริษัทที่รองรับรถอายุปี 2 ขึ้นไป แต่ปรากฎว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจบโครงการรถคันแรก ก็มีวิกฤตจากรถคันแรกถูกยึดและมีจำนวนไม่น้อยที่รถคันแรกถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง จึงกระทบต่อพอร์ตของบริษัทไปบ้าง ทำให้งานรับประกันภัยรถกลุ่มเหล่านี้ชะลอตัวและเบี้ยลดลง บวกกับสภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาด้วย ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของวิกฤตเศรษฐกิจและอุตสหกรรมรถยนต์
แม้บริษัทจะเล่นตลาดประกันภัยรถยนต์ที่ไม่ใช่ประเภท 1 แต่พบว่าสร้างผลกำไรและการเติบโตอย่างโดดเด่นไม่น้อย โดยสินค้าใหม่ๆของบริษัทที่พัฒนาขึ้นมารองรับลูกค้าที่เลือกซื้อประเภท 2, 2+, 3 และ 3+ สามารถสร้างอัตรากำไรได้ดีกว่าประกันภัยประเภท 1 เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม 2+ ที่รองรับรถยนต์ในกลุ่มต่ำกว่า 2,000 ซีซี.ลงมา ถือเป็นสินค้าเรือธงของบริษัท
นายสุขเทพ เปรียบเทียบผลประโยชน์และความคุ้มค่าว่าประเภท 2+ ที่บริษัทขายอยู่นั้น ดีกว่าหรือเทียบเท่าประเภท 1 ที่ขายอยู่ในท้องตลาดทั่วไป เช่น คิดทุนประกันเท่ากับ 80%แต่ให้ความคุ้มครองเท่ากับประเภท 1 แต่คิดค่าความรับผิดส่วนแรกครั้งละ 4,000 บาท เบี้ยประกัน 9,000 บาท ถ้าลูกค้าเกิดเหตุชน 2 ครั้งใน 1 ปี จ่ายค่ารับผิดส่วนแรกรวมกัน 8,000 บาท เมื่อบวกกับเบี้ยที่จ่าย 9,000 บาท เท่ากับ 17,000 บาท ยังถือว่าคุ้มกว่าเบี้ยประกันประเภท 1 ในท้องตลาดที่คิดถัวเฉลี่ย 2 หมื่นบาทสำหรับรถขนาด 1,500 ซีซี. แต่ไม่เกิน 2,000 ซีซี.
ทว่า โจทย์ที่ยากและท้าทายบริษัทขนาดกลางอย่างมิตรแท้ฯ คือ สถานการณ์ในธุรกิจประกันภัยปัจจุบันยังเต็มไปด้วยการแข่งขันดุเดือดและรุนแรงทุกช่องทางจัดจำหน่าย เฉพาะอย่างยิ่งแบงก์แอสชัวรันส์ที่เริ่มแรงต่อเนื่อง แม้จะไม่เทียบเท่ากับธุรกิจประกันชีวิตที่ถึงขั้นกุมส่วนแบ่งตลาดไปแล้วกว่า 60%แต่ในประกันภัยก็ถือว่าไม่ควรประมาท ด้วยฐานอำนาจการต่อรองที่มหาศาลในเครือธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ
ผมยอมรับว่าทุกวันนี้ทำธุรกิจแข่งกับบริษัทประกันภัยด้วยกันเอง ยังไม่เหนื่อยเท่ากับแข่งกับธนาคาร ไม่เพียงเท่านั้น ยังบวกกับช่องทางอื่นๆและการเปิดเออีซีที่ตลาดประกันภัยจะกว้างมากขึ้น ทำให้บริษัทที่เน้นช่องทางตัวแทนกว่า 1.8 หมื่นคนอย่างมิตรแท้ฯ ต้องเร่งปรับตัวรองรับ โดยปรับปรุงเพิ่มศักยภาพการบริการของตัวแทนและบริการอู่ซ่อม นำระบบอี-เลิร์นนิ่งเข้ามาปรับใช้ทั้งหมด เพื่อให้บริการรวดเร็วและสะดวกมากขึ้นทั้งกับลูกค้า คู่ค้าและพันธมิตร เพราะสถานการณ์และโลกธุรกิจในยุคนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก เราต้องตั้งรับและปรับตัวให้ทัน
ดังนั้น ถ้าปรับตัวปรับใจรับสถานการณ์ทางธุรกิจนับจากนี้ได้ ก็จะทำให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายประกอบการโดยรวมในปีถัดๆไปได้ไม่ยาก แม้จะผ่อนแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาบ้าง โดยนายสุขเทพวางเป้าหมายปี 2558 ที่เบี้ยประกันรวม 3,200 ล้านบาท เติบโต 15% ซึ่งต้องลุ้นกันว่าจะแตะหลักชัยได้ตามนั้นหรือไม่
 
ที่มา มิตรแท้ประกันภัย